ตำนานแมนยูออกมาเอง
มีคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่ตำนานแมนยูยอมอ่อนข้อให้ ไรอัน กิ๊กส์ อดีตปีกระดับตำนานของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมายกย่อง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ อดีตกัปตันทีม “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน สโมสรชั้นนำแห่งวงการ กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี คือคู่แข่งที่มีความแข็งแกร่งที่สุดตลอดเส้นทางการค้าแข้ง 24 ปี ผ่านทาง MUTV ช่องสถานีโทรทัศน์อย่างเป็นทางการของสโมสร
ล่าสุด ไรอัน กิ๊กส์ ออกมากล่าวว่า “ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผมเคยลงเผชิญหน้าด้วยคือ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ (อินเตอร์ มิลาน) เขาเป็นนักเตะที่วิ่งตลอดทั้งเกม และด้วยความที่เขาเคยเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางมาก่อน เขาจึงเล่นกับบอลได้อย่างไร้ความกดดัน เขาเล่นเกมรับได้ดีและเขาก็แข็งแกร่งสุดๆ เขาเคยทำผมจมูกหักในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วย (ชปล.) เมื่อปี 1999″
สำหรับทั้งคู่มีโอกาสดวลเพลงแข้งกันทั้งสิ้น 4 ครั้ง ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยเฉพาะในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อฤดูกาล 1998-99 ไรอัน กิ๊กส์ เคยจมูกหักเลือดสาดมาแล้วหลังการเข้าปะทะกับ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ แต่กระนั้นตัวเขายังมีส่วนช่วยให้ทีมฝ่าด่านสโมสรจากอิตาลีไปได้สำเร็จ ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และถือเป็นทริปเปิลแชมป์อีกด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ได้แชมป์มาแล้วทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ เอฟเอ คัพ
ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ: จากเด็กส่งนมสู่ตำนานหมายเลข 4 ของเนรัซซูรี่ เด็กชาย ‘ฮาเวียร์ อเดลม่า ซาเน็ตติ’ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1973, ที่กรุงบูโนส ไอเรส ซาเน็ตติเป็นลูกชายของคุณพ่อโรโดลโฟ่ซึ่งทำงานเป็นช่างหิน ขณะที่คุณแม่ไวโอเล็ตต้าทำงานเป็นแม่บ้านรับจ้างในบูโนส ไอเรส, ครอบครัวของซาเน็ตติไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรมากนัก
เมื่อตอนที่รู้ตัวว่าชอบเล่นฟุตบอล คุณพ่อได้พาซาเน็ตติไปอยู่กับทีมดังอย่างอินดิเพียเนเต้ เขาเล่นอยู่ในทีมเยาวชนนานถึง 7 ปีก่อนจะถูกปฏิเสธการมอบสัญญาอาชีพให้ด้วยเหตุผลที่ว่า “ตัวเล็กเกินไป” เหมือนถูกหมัดน็อคจากโมฮาเหม็ด อาลี, ซาเน็ตติผิดหวังมาก เขาเกือบละทิ้งความฝันการเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปแล้ว ทุกเช้ามืดเขาต้องทำงานพิเศษส่งนมจนถึง 7 โมงก่อนจะไปโรงเรียน จากนั้นช่วงบ่ายถึงไปซ้อมฟุตบอลกับสโมสรเล็ก ๆ ในท้องถิ่นที่ตาเยเรส เมื่อซ้อมเสร็จก็จะกลับมาช่วยงานคุณพ่ออีก
ชีวิตของเขาวนไปแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง, ขณะที่ซาเน็ตตินั่งก่ออิฐกับคุณพ่อ ท่านก็ได้ถามขึ้นมาว่า ‘ยังอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริง ๆ อยู่รึเปล่า’ ซาเน็ตติตอบว่า ‘ใช่ครับ ยังอยากเป็นอยู่’ หลังจากนั้นคุณพ่อก็บอกให้เขาหยุดทำงานพิเศษทุกอย่าง แล้วออกไปทุ่มกับความฝันแบบเต็มตัว พ่อของซาเน็ตติบอกกับขาว่า ‘จงลืมความผิดหวังทุกอย่าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมมัน ทำมันให้ดีที่สุด ผลลัพธ์เป็นอย่างไรช่างมันก่อน ไปทำให้ดีที่สุด ลองทำมันอีกสักครั้ง’
หลังจากวันนั้น เด็กชายที่ชื่อฮาเวียร์ ซาเน็ตติจึงได้กลับไปทุ่มเทกับฟุตบอลที่เขารักเพียงอย่างเดียว จนได้รับการติดต่อมาจากสโมสรที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างอย่าง “แบนฟิลด์”
• ที่แบนฟิลด์ •
ซาเน็ตติประเดิมสนามเกมแรกในนัดที่พบกับริเวอร์เพลท ยักษ์ใหญ่ของลีกในตำแหน่งแบ็คขวา เกมในวันนั้นเขาทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอด จนโค้ชของแบนฟิลด์เอ่ยปากว่า ‘เราเจอเพชรเม็ดงามเข้าแล้ว’ 17 วันต่อมา, เพชรเม็ดงามเม็ดนั้นยิงประตูแรกในลีกสูงสดได้สำเร็จด้วยการกดตีเสมอให้ทีมนัดพบกับนีเวลด์ โอลด์ บอยส์ และถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ให้หลังไม่นาน
“มีข้อเสนอจากโบคาและริเวอร์ เพลทเข้ามาที่สโมสรตอนจบฤดูกาลนั้น และเราก็พร้อมจะปล่อยเขาให้ไปในอนาคตที่ดีกว่านะ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากย้ายออกในตอนนั้น” ประธานของแบนฟิลด์เล่าความหลัง เขามาถึงสนามซ้อมเป็นคนแรกและกลับคนสุดท้ายเสมอ,และในช่วงนั้นมีแมวมองจากอิตาลีตามมาดูฟอร์มของเขาด้วยนะ เรารู้ได้ทันทีว่าเขาน่าจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแล้วล่ะ”
• นักเตะคนแรกในยุคโมรัตติ •
อินเตอร์ มิลานปี 1995, กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน”มัสซิโม โมรัตติ” เพิ่งจะได้เข้ามาบริหารทีมงูใหญ่และนักเตะคนแรกที่เขาเซ็นเข้ามาสู่ทีมก็คือซาเน็ตติ ในตอนแรกนั้น ผมส่งคนไปดูฟอร์มของอาเรียล ออร์เตก้าในทีมอาร์เจนชุดยู 21, แต่กลายเป็นฟูลแบ็คของทีมที่ทำให้ผมสนใจมากกว่า เขาเล่นได้น่าอัศจรรย์มาก ๆ” โมรัตติหมุนเข็มนาฬิกาเล่าให้นักข่าวฟัง
“เดือนต่อมา, เราเดินทางไปที่อาร์เจนติน่าเพื่อจะเซ็นกับแรมเบิร์ต แต่ทางฝั่งนั้นบอกว่ามีแบ็คขวาเทพคนนึง สนใจมั้ย ? ผมกับลูกชายเลยขอดูวิดีโอการเล่นของเขา เมื่อดูจบผมบอกเขาทันทีเลยว่า ‘ชั้นจะเอาหมอนี่กลับอิตาลีด้วย !’ ตอนนั้นผมรู้ทันทีเลยว่านี่จะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดของสโมสรอินเตอร์ มิลาน”
• ความกังวลแรกที่ซาน ซิโร่ •
เมื่อมาถึงสโมสรอินเตอร์ มิลานวันแรก, ซาเน็ตติมีเพียงถุงพลาสติกธรรมดาซึ่งข้างในใส่รองเท้ากับบัตรประจำตัวเท่านั้น ไม่มีนาฬิกาหรูหรือโทรศัพท์ราคาแพง เขายังต้องกล่าวขอทางแฟนบอลที่มารอล่าลายเซ็นเปิดตัวนักเตะใหม่ตรงทางเข้าสนามซ้อมด้วยซ้ำ โดยที่ไม่มีใครจำเขาได้เลย
“พอผมเดินออกมาที่ระเบียงตอนเปิดตัวเท่านั้นแหละ แฟน ๆ พากันตกตะลึงไปเลย ผมเพิ่งเดินผ่านพวกเขาไปโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าผมเป็นใคร กระทั่งพนักงานต้อนรับยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ” ซาเน็ตติเล่าติดตลกเมื่อรื้อฟื้นวันแรกที่มาถึงสโมสร ตอนเซ็นสัญญา พวกเขาให้ผมเลือกรถที่จะใช้หนึ่งคัน ผมเลือกบีเอ็มดับเบิ้ลยู แต่แค่วันเดียวผมก็รู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ ผมจึงโทรไปถามแบร์โกมี่ ซึ่งเป็นกัปตันทีมในตอนนั้นกลางดึกว่าโอเคไหม ถ้าผมจะไปถึงสนามซ้อมวันแรกด้วยบีเอ็มดับเบิ้ลยู ? ผมไม่อยากสร้างความเข้าใจผิดกับเพื่อนใหม่ในทีมว่าผมเป็นคนหัวสูง แบร์โกมี่หัวเราะแล้วบอกว่าสบายมาก”
• เจ้ารถแทร๊คเตอร์ •
ครั้งนึง, นักข่าวจากโฟร์โฟร์ทูได้ถามกับซาเน็ตติว่าทำไมเขาถึงมีฉายาว่า “Il Tractore” หรือเจ้ารถแทร๊คเตอร์ เขาตอบว่า
“ผมได้รับฉายานี้ตั้งแต่สมัยเล่นในอาร์เจนติน่าแล้ว เพราะว่าสไตล์ของผมที่วิ่งไปทั่วทั้งสนามไม่มีหยุด สื่อที่นั่นเป็นคนตั้งฉายานี้ให้, จากนั้นพอย้ายมาที่อิตาลีนักข่าวที่นี่เลยใช้เรียกผมตาม ๆ กันมา ซึ่งผมก็ชอบมันนะ”
• เมื่อซาเน็ตติหัวร้อน •
ถึงจะเป็นคนที่ดูเงียบขรึมและสงบเสงี่ยม แต่ในปี 1997 เกมยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศ คนอย่างซาเน็ตติก็เคยหัวเสียตอนโดนเปลี่ยนตัวออกมาแล้ว
“วันนั้นผมแค่รู้สึกไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยที่รอย ( ตอนนั้นรอย ฮอดจ์สันคุมอินเตอร์อยู่ ) เปลี่ยนผมออกในช่วงที่ใกล้จะดวลจุดโทษแล้ว, ผมคิดว่าผมเล่นได้ดีนะวันนั้น แล้วคนที่ถูกเปลี่ยนลงมาก็ไม่ใช่มือสังหารจุดโทษอีกด้วย ( นิโกล่า แบร์ตี้ ) นั่นเลยทำให้ผมหัวร้อนนิดหน่อย แต่วันรุ่งขึ้น, ผมก็เข้าไปสวมกอดรอยนะ เขาเป็นโค้ชที่ดีคนนึง ผมกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลยแหล่ะ”
• ซาเน็ตติกับแมนฯ ยูไนเต็ด •
ช่วงเวลาที่มืดมนของอินเตอร์คืบคลานเกาะกินสโมสรร่วมครึ่งทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 1999-2004 พวกเขาร้างราความสำเร็จและตกอยู่ใต้ร่มเงาของมิลานกับยูเว่มาโดยตลอด, ขณะที่ซาเน็ตติเองก็เคยเกือบเก็บข้าวของย้ายไปหาความสำเร็จกับทีมอื่นเช่นกันในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นเดียวกับสตาร์คนอื่น
“มีหลายสโมสรติดต่อเข้ามา มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดช่วงนึงในชีวิตของผมเลย ในฐานะกัปตันทีม คุณไม่สามารถทิ้งทีมไปหาความสุขคนเดียวได้หรอก, ผมคุยกับโมรัตติเยอะมาก เราตั้งเป้าหมายร่วมกันและให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยกันสร้างอนาคตที่นี่ร่วมกัน”
“ผมจำได้ถึงวันที่ย้ายมาอินเตอร์วันแรกเขาบอกกับผมว่า เมื่อผมเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของอินเตอร์แล้ว ผมก็คือคนในครอบครัวของเขาคนนึง เป็นเหมือนลูกชายอีกคน, ด้วยเหตุนั้นความคิดเรื่องการย้ายทีมจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับผมอีกเลย ซาเน็ตติยังบอกอีกว่า เพราะโมรัตติและแฟนบอลอินเตอร์จึงทำให้เขาปฏิเสธที่จะได้ร่วมงานกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในช่วงปลายยุค 90 อีกด้วย
“ผมได้พบกับเฟอร์กี้โดยบังเอิญที่สนามบินในอังกฤษพร้อมกับภรรยาของผม, ข่าวลือที่ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องการเซ็นสัญญากับผมคือเรื่องจริง! ผมได้คุยกับเขานานพอสมควรเลยแหล่ะ ทั้งเรื่องฟุตบอลและเรื่องของผม ผมปฏิเสธเขา เพราะผมต้องการอยู่ที่อินเตอร์ต่อ, แม้ช่วงนั้นเราจะไร้ซึ่งความสำเร็จ แต่แผนงานที่ผมได้คุยกับโมรัตติมันเป็นรูปธรรม และผมทิ้งมันไปไม่ได้จริงๆ” มีคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่ตำนานแมนยูยอมอ่อนข้อให้