ยืนที่หนึ่งแบบยาวนาน
ยังไม่มีทีมใดในพรีเมียร์ลีกมาโค่นสถิตินี้ได้ ยืนยาวมานาน!เออร์วินสุดปลื้มยังไร้ทีมอังกฤษทาบ1สถิติแมนยู เดนิส เออร์วิน อดีตยอดดาวเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ระบุ ส่วนตัวแล้วภูมิใจที่ยังไม่มีทีมจากอังกฤษ ซึ่งสามารถคว้าทั้งแชมป์ลีก, เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นเดียวกันมาครองได้ จนทำให้ “ปีศาจแดง” ยังครองบัลลังก์ดังกล่าวแบบเดี่ยวๆ มาได้จนถึงตอนนี้ พร้อมบอกว่าฤดูกาล 1998-99 ทีมของตนเจองานหนักตลอดทางในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก
เดนิส เออร์วิน ตำนานฟูลแบ็กของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่ารู้สึกภูมิใจมากๆ ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีทีมไหนจากเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ภายในฤดูกาลเดียวกัน เหมือนอย่างที่ “ปีศาจแดง” เคยทำได้ในซีซั่น 1998-99
ฤดูกาลดังกล่าวถือเป็นซีซั่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยมันยังถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 ที่พวกเขาได้สัมผัสกับถ้วย “บิ๊กเอียร์” ด้วย ซึ่งถึงแม้ในฤดูกาล 2000-01 ลิเวอร์พูล จะเคยได้ทริปเปิ้ลแชมป์เหมือนกัน จากการได้แชมป์ เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และ ยูฟ่า คัพ แต่ในกรณีของการได้ทั้งแชมป์ พรีเมียรืลีก, เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นเดียวกันนั้น มันยังไม่มีใครทำได้อีกเลยนับตั้งแต่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนั้นเคยทำสำเร็จ
เออร์วิน เผยว่า “ตอนที่เราได้แชมป์มาครองน่ะ ผมคิดว่าตอนนั้นเราโล่งอกกันสุดๆ เพราะเราพยายามทำอย่างนั้นให้ได้มา 4 หรือ 5 ปีแล้ว ในปี 1999 เราผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่ถือเป็นกลุ่มที่หินสุดๆ มาได้ รวมถึงยังผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศและรอบรองชนะเลิศซึ่งยากมากๆ ทั้งกับ อินเตอร์ และ ยูเวนตุส มาได้ด้วย”
“ในรอบชิงชนะเลิศเราต้องมาเจอกับ บาเยิร์น ซึ่งเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ที่จริงวันนั้นเราเล่นกันได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เราก็เอาตัวรอดมาได้ และมีโชคช่วยตามที่เราสมควรจะได้รับ มันเป็นช่วง 10 วันที่ยอดเยี่ยม เราได้ทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ แล้วจากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก”
“มันมีโอกาสที่จะมีใครทำแบบนั้นได้อีกรึเปล่าน่ะเหรอ ? คือที่ผ่านๆ มามันก็มีบางทีมที่เกือบจะทำได้น่ะนะ และผมก็คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการได้ทั้ง 3 แชมป์ใหญ่ในฤดูกาลเดียวกันมันทำได้ยากมากแค่ไหน ผมดีใจมากๆ ที่เรายังเป็นทีมเดียวที่ทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างนั้นได้อยู่”
นี่คือการกลับมาเอาคืน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังโดนเพื่อนร่วมเมืองค่ายนี้ ปาดหน้าคว้าแชมป์ในแมตช์สุดท้ายฤดูกาลที่แล้ว คราวนี้เลยขอไปครอง 4 เกมก่อนจบ และเป็นการพิสูจน์ว่าการซื้อ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ จาก อาร์เซน่อล 24 ล้านปอนด์ เมื่อปีกลาย คือการลงทุนอันคุ้มค่า เพราะกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ ซัด 24 ประตูใน 34 นัด ช่วยให้ต้นสังกัดประสบความสำเร็จตามเป้าภายในฤดูกาลแรกที่ร่วมงานกัน ทั้งๆสัญญาที่เซ็นไว้ระบุว่า “ปีศาจแดง” จ่ายก่อน 22.5 ล้าน ส่วนอีก 1.5 ล้าน จ่ายตอนเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ของแบบนี้ไม่ต้องรอนาน “อาร์วีพี” จัดให้ทันที หากไม่มีฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเขา ก็ไม่รู้ว่าจะสมหวังกันหรือเปล่า เพราะนอกจากแฮ็ตทริกในนัดล่าสุด เจ้าตัวยังช่วยทำสกอร์สำคัญวันชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน (3-2), ลิเวอร์พูล (2-1), เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (1-0), เร้ดดิ้ง (4-3), แมนฯซิตี้ (3-2)
เป็นการเสริมทัพที่คุ้มค่าสำหรับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ฟาน เพอร์ซี่ โชว์ฟอร์มเด่นตอบแทน “ปีศาจแดง” จนตัวเองเข้าชิงฯรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ สมาคมนักเตะอาชีพ และมีลุ้นตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ซึ่งทั้ง 2 ตำแหน่งเขาคว้ามาแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน แต่แชมป์ลีกคือสิ่งเดียวที่เขายังไม่เคยได้ คราวนี้ก็สมหวังเสียที นอกจากแนวรุก ดีสุดในลีก แมนฯยูไนเต็ด ยังกลับมาครองบัลลังก์เพราะมีผลงานดีสุดของลีก ทั้งตอนเฝ้าบ้าน และออกนอกรัง (ชนะเกมเหย้า 15 จาก 17 นัด แพ้แค่ ท็อตต์แน่ม ฮ็อตสเปอร์ กับ แมนฯซิตี้ นอกถิ่นชนะ 12 แพ้ 3 เกม พ่าย เอฟเวอร์ตัน และ นอริช ซิตี้) ทำให้ช่วงหนึ่งไม่แพ้ใคร 18 แมตช์ติดต่อกัน คว้าชัย 7 ครั้งซ้อน แถมไม่เสียประตู 6 เกมรวด แม้แนวรับจะทำให้แฟนบอลปวดใจหลายหน แต่ถือว่าไม่มีใครย่ำแย่ ราฟาเอล, จอนนี่ อีแวนส์ ทำผลงานดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนแผงกลาง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ กับ ไมเคิ่ล คาร์ริค ก็โดดเด่นมาก
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีข้อผิดพลาดเหมือนฤดูกาลก่อน แมนฯยูไนเต็ด คว้าแชมป์เพราะแทบไม่พลาดในเกมสำคัญ เช่นบุกเชือด แมนฯซิตี้ ถึงถิ่น 3-2 (หลังจากถูกไล่ตามตีเสมอในนาที 86 และฤดูกาลก่อนพ่ายทีมนี้แบบไป-กลับ) แมตช์ต้อนรับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โดนทีมเยือนกดขึ้นนำ 3 ครั้ง แต่ยังไล่ตามได้ทุกรอบ ก่อนมาคว้า 3 คะแนนด้วยสกอร์ 4-3 ในนาทีสุดท้าย มีอีกหลายหนที่ถูกขึ้นนำก่อน แต่ไม่ทำให้ “ปีศาจแดง” หวั่นไหว แถมสามารถแซงกลับมาชนะคู่แข่งอยู่เสมอๆ จนได้ฉายา “โดนนำสไตล์” เช่นตอนเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมเจ้าบ้านซึ่งเป็นน้องใหม่ อุตส่าห์ออกนำถึง 2 ครั้ง แต่ ฟาน เพอร์ซี่ ซัด 2 ลูกใน 3 นาทีท้าย ทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเก็บ 3 คะแนนได้แทน วันที่เยือน แอสตัน วิลล่า ก็มายิง 3 ลูกรวดใน 32 นาทีสุดท้าย จนคว้าชัยสำเร็จ ตอนเยือน เร้ดดิ้ง แชมป์ฟุตบอลลีก แชมเปี้ยนชิพ โดนนำ 3-2 ก็กลับมาชนะ 4-3
ในแนวรับ ก็มี ราฟาเอล (ซ้าย) ที่เล่นได้โดดเด่นกว่าปีก่อนๆ จนกลายเป็นแบ๊กขวาคนสำคัญไปแล้ว นี่คือการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่เดือนเมษายนครั้งที่ 6 แม้ยังไม่เร็วสุดในประวัติศาสตร์ แต่เจ้าของสถิติก็ยังเป็น แมนฯยูไนเต็ด โดยทำได้เมื่อ 14 เมษายน 2001 ขณะเหลืออีก 5 เกมก่อนจบฤดูกาล ตอนนั้นรองแชมป์คือ อาร์เซน่อล และล่าสุด “ปีศาจแดง” นำห่าง แมนฯซิตี้ 16 คะแนน ยังไม่ขาดลอยเท่ากับที่พวกเขาเคยซิวแชมป์ปี 2000 โดยทิ้งห่างอันดับ 2 อาร์เซน่อล 18 แต้ม และถึงจะเคยได้ถ้วยพรีเมียร์ลีก 13 สมัย แต่ แมนฯยูไนเต็ด เพิ่งสามารถการันตีการเป็นแชมป์ตอนเตะในบ้านตัวเองหนที่ 3 อีก 2 ครั้งคือปี 1999 กับ 2009 นอกจากนั้นก็ต้องไปเฮนอกถิ่นเสมอ อีกสถิติหนึ่งซึ่งลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังพอมีโอกาสทำลาย คือคะแนนสูงสุดใน 1 ฤดูกาล เชลซี เคยทำไว้ 95 คะแนน เมื่อปี 2005 แต่ 4 เกมสุดท้าย “ปีศาจแดง” ต้องชนะให้หมด (เยือน อาร์เซน่อล, เหย้า เชลซี, เหย้า สวอนซี ซิตี้, เยือน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน) ยังไม่มีทีมใดในพรีเมียร์ลีกมาโค่นสถิตินี้ได้