ระบบการแข่งขัน
ระบบการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มีทีมร่วมแข่งขัน 20 ทีม แข่งขันในระบบพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 3 สโมสรที่ได้คะแนนน้อยที่สุด จะต้องตกชั้นไปเล่นในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป
4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสามทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ในขณะที่ทีมอันดับ 4 จะต้องแข่งรอบเพลย์ออฟอีกทีหนึ่ง ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ) เดิม และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ สิทธิ์การแข่งยูฟ่ายูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 6 และ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน
ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้
แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบเพลย์ออฟ
แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
พรีเมียร์ ลีก เตรียมพิจารณากติกาการแข่งขันใหม่ๆ ในกรณีที่ฟุตบอลกลับมาแข่งขันกันอีกครั้งท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดย VAR อาจจะเป็นสิ่งนึงที่เปลี่ยนแปลง เพราะมีแนวโน้มว่าจะงดใช้เทคโนโลยีดังกล่าวไปตลอดฤดูกาลที่เหลือตามรายงานข่าวจาก The Mirror และเนื่องจากเกมการแข่งขันต้องอัดแน่นภายในระยะเวลาสั้นๆ สโมสรต่างๆ ก็อาจจะได้รับ อนุญาตให้เปลี่ยนตัวได้ 5 คนในแต่ละเกม
มีแนวโน้มว่า ทุกๆ เกมจะต้องเล่นแบบสนามปิด ด้วยความหวังที่ว่าจะให้พรีเมียร์ ลีก แข่งจบสิ้นภายในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมนี้ นั่นหมายความว่า ผู้เล่น, สตาฟฟ์ และหน่วยบริการฉุกเฉินทั้งหมดจำเป็นต้องโดนกักตัว ทีม VAR ซึ่งประกอบไปด้วยจำนวนคนอย่างน้อย 3 คนรวมถึงผู้ตัดสินคน 1 คนที่อยู่ที่สำนักงานหลักที่สต็อคลีย์ พาร์ค ที่อาจสร้างปัญหาเกี่ยวกับ social distancing (การเว้นระยะทางสังคม)
ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ อาจจะต้องกลับมาแข่งขันภายใต้รูปแบบที่แตกต่างจากเดิมเป็นอย่างมากเพื่อให้แน่ใจว่า ฤดูกาลนี้จะแข่งจบท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในเรื่องการเปลี่ยนตัว 5 คนนั้น สโมสรต่างๆ รู้สึกว่ามีความจำเป็นกับผู้เล่นที่มีแนวโน้มที่จะได้รับความเหนื่อยล้าหลังจากที่ได้พักอย่างไม่คาดฝันในช่วงกลางฤดูกาล ทั้งนี้ปัจจุบันทีมต่างๆ ในพรีเมียร์ ลีก ใส่ชื่อผู้เล่นบนม้านั่งสำรองไว้ 7 คนแต่ใช้งานจริงได้แค่ 3 คน โดยผู้จัดการทีม, เจ้าหน้าที่สโมสรและทีมแพทย์ ต่างก็เชื่อว่า จะสามารถหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บและกล้ามเนื้อฉีกขาดของผู้เล่นสำคัญของทีมได้
อิงลิชฟุตบอลลีก (EFL), พรีเมียร์ ลีก, สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) และ สมาคมผู้จัดการทีมลีกอาชีพของอังกฤษ (LMA) ออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวันพุธที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมาหลังประชุมร่วมกันว่า
“ผู้แทนอาวุโสจาก PFA, พรีเมียร์ ลีก, EFL และ LMA ประชุมร่วมกันในวันนี้ เกี่ยวกับความท้าทายในการเผชิญหน้ากับเกมอันเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19“
“การประชุมย้ำถึงความสำคัญที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมดนั่น ก็คือสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชาติรวมไปถึงผู้เล่น, โค้ช, ผู้จัดการทีม, ทีมงานของสโมสรและกองเชียร์ และทุกคนตกลงกันว่า ฟุตบอลจะต้องกลับมาเมื่อมันปลอดภัยและเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น”
“ไม่มีการตัดสินใจในวันนี้ จะมีการหารือกันอีกครั้งภายใน 48 ชั่วโมงข้างหน้าโดยให้ความสำคัญกับหลายๆ เรื่องรวมถึงค่าจ้างของนักเตะและการกลับมาแข่งฤดูกาล 2019/20 อีกครั้ง”
พรีเมียร์ ลีก กำลังจะประชุมกันอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 นี้ โดยจะมีเน้นเรื่องสวัสดิภาพของผู้เล่นเป็นวาระในการประชุม ในขณะเดียวกัน ยูฟ่า ได้เลื่อนการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูโรป้า ลีก ที่เหลือออกไปอีกอันเนื่องมาจากวิกฤตโควิด-19
คำถามที่ว่า ทำไมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจำเป็นต้องกลับมาลงเตะให้ครบตามจำนวนที่เหลือรวมทั้งหมด 92 นัด ซึ่งตามที่หลายฝ่ายๆ คาดการณ์กันว่า ฟุตบอลเมืองผู้ดีน่าจะกลับมาลงฟาดแข้งกันได้อีกครั้ง คือ วันที่ 12 มิถุนายนที่จะถึงนี้
ทั้งๆ ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (Covid-19) ที่ยังหนักหนาเอาการบนแผ่นดินเมืองผู้ดี ซึ่งล่าสุดมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 220,449 คน เสียชีวิตสะสม 31,930 ศพ ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ณ วันที่ 11 พ.ค. 2563
คำตอบนั้นง่ายมากเลย นั่นเป็นเพราะรายได้ก้อนมหาศาล 762 ล้านปอนด์ หรือ 3 หมื่นล้านบาท จากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่ 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีก จะได้รับการจัดสรรปันส่วนแบบสุขเกษมเปรมปรีดิ์หากพวกเขากัดฟันลงฟาดแข้งกันจนครบได้สำเร็จ แต่กลับกัน หากลงเตะไม่ครบ เงินก้อนโตที่ควรได้ก็มีความเสี่ยงสูงมากว่า อาจจะต้อง “ชวด” เพราะไม่ได้ลงเตะให้ครบตามสัญญาที่ทำไว้กับเจ้าของลิขสิทธิ์นั่นเอง
ทางด้านลิเวอร์พูลก็หวังว่า พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้จะแข่งต่อจนจบหลังพวกเขากำลังจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 ระบบการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก